ข้อสอบปลายภาค
1.กฎหมายทั่วไปกับกฎหมายการศึกษา
มีที่มาความเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร อธิบายพร้อมทั้ง ยกตัวอย่างประกอบอย่างย่อ ๆ
ให้ได้ใจความพอเข้าใจ
ตอบ กฎหมายทั่วไป เป็นกฎเกณฑ์
ข้อบังคับที่ใช้ควบคุมความประพฤติของมนุษย์ในสังคม กฎหมาย มีลักษณะเป็นคำสั่ง ข้อห้าม
ที่มาจากผู้มีอำนาจสูงสุดในสังคมใช้บังคับได้ทั่วไป
ใครฝ่าฝืนจะต้องได้รับโทษหรือสภาพบังคับอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกิน 4,000 บาท
หรือทั้งจำทั้งปรับเหล่านี้เป็นต้น
กฎมายการศึกษา เป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นเพื่อสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญของการศึกษาเป็นกฎหรือคำสั่งหรือข้อคับเกี่ยวกับการศึกษาที่ตราขึ้นเพื่อใช้ในสถานศึกษาหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและมีบทลงโทษเมื่อกระทำผิดในข้อบังคับต่างๆเกี่ยวกับการศึกษา
เช่น มาโรงเรียนสายเป็นประจำ เว้นแต่มีเหตุผลตามสมควร
แต่งกายไม่ถูกต้องตามระเบียบของโรงเรียนให้ลงโทษตามที่กำหนดไว้
แต่งกายไม่สุภาพทั้งภายนอกและภายในโรงเรียน อันส่อให้เห็นว่าเป็นการไม่ถูก พูดจาหยาบคาย
หนีโรงเรียน
หนีห้องเรียนถือเป็นการลงโทษสถานเบา หรือการตัดคะแนนในกรณีเล่นการพนัน
ทะเลาะวิวาท หรือสถานหนักเช่นมั่วสุมยาเสพติดเหล่านี้เป็นต้น
...............................................................................
2. รัฐธรรมนูญที่ว่าด้วยการศึกษา
มีสาระหลักที่สำคัญอย่างไร ในประเด็นอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา
ยกตัวอย่างประกอบ พอเข้าใจ
(รัฐธรรมนูญตั้งแต่แต่ฉบับแรกถึงปัจจุบัน (พ.ศ.2550)
ตอบ รัฐธรรมนูญที่ว่าด้วยการศึกษา สาระสำคัญของกฎหมายรัฐธรรมนูญ
แต่ละฉบับที่เกี่ยวกับการศึกษา พบว่านับตั้งแต่ได้มีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยขึ้นและมีการปรับปรุงแก้ไขในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา
ได้มีวิวัฒนาการเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่เสรีภาพ การศึกษาอบรม
ให้กับเด็กและเยาวชนให้เป็นผู้มีความสมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา คุณธรรมจริยธรรมโดยมีแนวทางในการจัดการศึกษา รัฐจะต้องจัดการศึกษาและสนับสนุนให้เอกชนจัดการศึกษาอบรมให้เกิดความรู้คู่คุณธรรมเช่นกัน และจัดการศึกษาภาคบังคับให้เข้ารับการศึกษาอบรมโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาภาคบังคับ ต่อมาได้เพิ่มเติมจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่น้อยกว่า 12 ปีรัฐจะต้องจัดอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ พร้อมทั้งจัดให้มีกฎหมายการศึกษาแห่งชาติหรือเรียกชื่อว่า
“พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติขึ้น”
ให้กับเด็กและเยาวชนให้เป็นผู้มีความสมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา คุณธรรมจริยธรรมโดยมีแนวทางในการจัดการศึกษา รัฐจะต้องจัดการศึกษาและสนับสนุนให้เอกชนจัดการศึกษาอบรมให้เกิดความรู้คู่คุณธรรมเช่นกัน และจัดการศึกษาภาคบังคับให้เข้ารับการศึกษาอบรมโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาภาคบังคับ ต่อมาได้เพิ่มเติมจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่น้อยกว่า 12 ปีรัฐจะต้องจัดอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ พร้อมทั้งจัดให้มีกฎหมายการศึกษาแห่งชาติหรือเรียกชื่อว่า
“พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติขึ้น”
...............................................................................
3. พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ
มีกี่มาตรา และมีความสำคัญอย่างไร
และประเด็นหรือมาตราใดที่ผู้ปกครองต้องปฏิบัติและต้องยึดถือปฏิบัติ
ตอบ พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ มี 20 มาตรา โดยที่กฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติได้กำหนดให้บิดา มารดา
หรือผู้ปกครองมีหน้าที่จัดให้บุตรหรือบุคคลซึ่งอยู่ในความดูแลได้รับการศึกษาภาคบังคับจำนวนเก้าปี
โดยให้เด็กซึ่งมีอายุย่างเข้าปีที่เจ็ดเข้าเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานจนอายุย่างเข้าปีที่สิบหก
เว้นแต่จะสอบได้ชั้นปีที่เก้าของการศึกษาภาคบังคับ
ประเด็นหรือมาตราที่ผู้ปกครองต้องปฏิบัติและต้องยึดถือปฏิบัติ
มาตรา 6
ให้ผู้ปกครองส่งเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษา
เมื่อผู้ปกครองร้องขอ
ให้สถานศึกษามีอำนาจผ่อนผันให้เด็กเข้าเรียนก่อนหรือหลังอายุตามเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับได้ ทั้งนี้
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนด
...............................................................................
4. ท่านเข้าใจว่า
หากมีใครเข้ามาปฏิบัติการสอนในโรงเรียนที่เปิดการสอนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กรณีสอนทั้งปีที่ไม่มีใบประกอบวิชาชีพครูนั้น สามารถมาปฏิบัติการสอนได้หรือไม่
ถ้าไม่ได้มีความผิดหรือบทกำหนดโทษอย่างไร
ถ้าได้จะต้องกระทำอย่างไรมิให้ผิด ตามพระราชบัญญัตินี้
ตอบ กรณีที่ไม่มีใบวิชาชีพครู พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา
พ.ศ. 2546 มาตรา46 กำหนดห้ามมิให้ผู้ใดแสดงด้วยวิธีใดๆให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนมีสิทธิหรือพร้อมจะประกอบวิชาชีพโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากคุรุสภาและห้ามมิให้สถานศึกษารับผู้ไม่ได้รับใบอนุญาตเข้าประกอบวิชาชีพควบคุมในสถานศึกษา
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคุรุสภา
เนื่องจากเหตุผลและความจำเป็นของสถานศึกษาในการพัฒนาการศึกษา
ซึ่งต้องใช้บุคคลเข้าประกอบวิชาชีพ
เพื่อจัดการเรียนการสอนด้วยเหตุที่ไม่สามารถสรรหาผู้ที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเข้ามาดำเนินการสอน
บุคคลที่จะเข้ามาปฏิบัติการสอนโดยไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพจะต้องมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการอนุญาต
ดังนี้
คุณสมบัติการพิจารณาอนุญาต
ผู้ที่จะขอเข้าประกอบวิชาชีพครู โดยไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
ต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
1. มีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี
2. มีคุณวุฒิตามข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(1) มีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีทางการศึกษา หรือเทียบเท่า
(2) มีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี ที่ ก.ค.ศ.รับรอง ซึ่งกำหนดเป็นคุณสมบัติเฉพาะสำหรับการบรรจุแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตำแหน่งครู และเป็นวุฒิปริญญาในสาขาที่สอดคล้องกับระดับชั้นที่เข้าสอน ตามที่คุรุสภากำหนด ยกเว้นโรงเรียนในพระราชดำริ
โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน โรงเรียนโครงการพิเศษต่างๆ
ที่ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานต้นสังกัด และมีคะแนนเฉลี่ย 2.5
ขึ้นไป โรงเรียนถิ่นทุรกันดาร หรือโรงเรียนเสี่ยงภัย ตามประกาศของทางราชการ
และจัดให้มีการอบรมในเรื่องการเรียนรู้เกี่ยวกับการเรียนการสอนเบื้องต้นด้วย
3. ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 44
แห่งพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546
เงื่อนไขการอนุญาต
1. สถานศึกษาชี้แจงเหตุผลความจำเป็น หรือความขาดแคลน ต้องรับบุคคลเข้าประกอบวิชาชีพครู
2.
สถานศึกษาจะต้องแนบประกาศการรับสมัครและการสรรหาบุคคลเข้าประกอบวิชาชีพครู
3. สถานศึกษาจะต้องแนบคำสั่งของคณะกรรมการของสถานศึกษาในการคัดเลือกบุคคลเข้าประกอบชาชีพครู
4. สถานศึกษาต้องขออนุญาตเป็นการเฉพาะราย ผ่านต้นสังกัด โดยจะต้องปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้ในหนังสืออนุญาตเท่านั้น ภายใต้การควบคุมของผู้บริหารสถานศึกษา
4. สถานศึกษาต้องขออนุญาตเป็นการเฉพาะราย ผ่านต้นสังกัด โดยจะต้องปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้ในหนังสืออนุญาตเท่านั้น ภายใต้การควบคุมของผู้บริหารสถานศึกษา
5. ระยะเวลาการอนุญาตครั้งละไม่เกิน
2 ปี และต้องพัฒนาตนเองให้มีคุณสมบัติตามข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของวิชาชีพ
พ.ศ. 2548 เพื่อขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูต่อไป
6.
หากผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพครู โดยไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
ฝ่าฝืนจรรยาบรรณของ
วิชาชีพ หรือปฏิบัติการสอนผิดเงื่อนไข หรือไม่สามารถพัฒนาตนเองตามหลักเกณฑ์
เงื่อนไขการอนุญาต การอนุญาตดังกล่าวเป็นอันสิ้นสุด
ผู้ใดฝ่าฝืน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
...............................................................................
5. สมบัติ
เป็นครูโรงเรียนแห่งหนึ่ง ได้ประพฤติผิดกระทำทารุณกรรมต่อเด็กหรือเยาวชน
หากเราพิจารณาตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 จะต้องทำอย่างไร และมีบทลงโทษอย่างไร
ตอบ สมบัติ
เป็นครูโรงเรียนแห่งหนึ่ง ได้ประพฤติผิดกระทำทารุณกรรมต่อเด็กหรือเยาวชน ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 จะต้องแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือผู้มี
สิทธิ์คุ้มครองเด็กเพื่อให้มีอำนาจในการตรวจค้น สมบัติต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และต้องปลดจากการเป็นครู
สิทธิ์คุ้มครองเด็กเพื่อให้มีอำนาจในการตรวจค้น สมบัติต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และต้องปลดจากการเป็นครู
...............................................................................
6. ช่วงที่นักศึกษาไปทดลองสอนที่โรงเรียนเทอม
2 และในเทอมต่อไป
นักศึกษาเข้าไปทดลองสอนจริง นักศึกษาคิดว่าจะนำกฎหมายการศึกษาไปใช้โดยกำหนดคนละ 2 ประเด็นที่คิดว่าจะนำกฎหมาย
ไปใช้ได้ พร้อมยกตัวอย่างประกอบ
ตอบ ช่วงที่นักศึกษาไปทดลองสอนที่โรงเรียนเทอม
2 และในเทอมต่อไป นักศึกษาเข้าไปทดลองสอนจริง นักศึกษาคิดว่าจะนำกฎหมายการศึกษาไปใช้นั้น
ประเด็นแรก การขาด ลา
ต่างๆในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่นั้นนับคือหากเราจะลาไม่สามารถมาดำเนินการตามปกติได้นั้นเราต้องทำอย่างไร
และเราเองนั้นลาเพื่อทำอะไร เช่น ลากิจ ลาป่วย ลาครึ่งวัน ลาได้ครั้งละกี่วัน
การมาทำงานสายเหล่านี้เป็นต้น
ประเด็นที่สอง คงจะเป็นการลงโทษเด็กว่าการลงโทษนักเรียนนั้นสามารถกระทำได้แต่ต้องไม่เกิดจากการแค้นส่วนตัวเช่นตีเด็ก
ใช้เตารีดร้อนๆมาโดนตัวเด็ก
ลงโทษเด็กเกินกว่าเหตุเหล่านี้เราควรศึกษากฎหมายว่าลงโทษได้ประมานไหนเพื่อไม่ให้เกิดความผิดแก่ตัวเราเองเพราะมีกฎหมายรองรับอยู่ว่าหากเราทำการลงโทษนักเรียนเกินกว่าเหตุนั้นจะต้องถูกดำเนินคดี
...............................................................................
7. ให้นักศึกษาสะท้อนความคิดการใช้
เว็บล็อก (weblog) ในการนำมาใช้จัดการเรียนการสอนวิชานี้
พอสังเขป
พอสังเขป
ตอบ การใช้
เว็บล็อก (weblog) ในการเรียนการสอนเป็นการเรียนรู้ที่ทันสมัย
จะทำให้สะดวกและประหยัดเวลาในการเรียนการสอน ซึ่งสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่
ทุกเวลาไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ในห้องเรียน
และข้อมูลที่เราเรียนรู้สามารถนำมาเรียนรู้ใหม่ได้อีก นอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ปัจจุบันบล็อกถือเป็นช่องทางที่ใช้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้อีกทางหนึ่ง
เพราะบล็อกส่วนใหญ่
มักจะอนุญาตให้ผู้อ่านแสดงความคิดเห็นของตนที่มีต่อข้อความในบล็อกนั้น ๆ ได้
ซึ่งอาจจะเป็นการให้คำแนะนำ หรือจะเป็นการแสดงความเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับข้อความในบล็อกนั้น
ๆ การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างผู้เขียนบล็อกและผู้อ่านบล็อกสามารถทำให้เกิดเป็นสังคมย่อย
ๆ ขึ้นมา
...............................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น